หลังจากที่ Samsung ได้เปิดตัว Samsung Galaxy S20 Series ไปไม่นานผมก็ได้มีโอกาสลองใช้งาน Samsung Galaxy S20+ มาประมาณ 2 อาทิตย์ จึงอยากมาแชร์ประสบการ์ณในการใช้งาน และเอาจุดเด่นที่น่าสนใจของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ให้ได้ดูกัน พร้อมทั้งพูดถึงข้อพิจารณาต่าง ๆ ที่ผมได้พบเจอเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ในการช่วยตัดสินใจในการเลือกซื้อ สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นนี้จาก Samsung จะเป็นยังไงไปดูกันเลยครับ
– Spec –
- หน้าจอขนาด 6.7″ Infinity-O Display Dynamic AMOLED 2X อัตราส่วน 20:9 ความละเอียด QHD+ ค่ารีเฟรชเรท 120Hz (ใช้ได้แต่จอจะปรับความละเอียดเหลือเป็น FHD+) รองรับการแสดงผล HDR10+ ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 6 หน้าจอขอบ 2.5D
- SOC Exynos 990 (8 Core Clock 2.73 GHz เป็น Model 4G)
- RAM 8 GB
- Storage 128 GB แบบ UFS 3.0 รองรับ MicroSD เพิ่มได้สูงสุด 1 TB (Hybrid slot)
- กล้องหลัง 4 ตัว
- กล้องหลัก 12MP f/1.8 Dual Pixel, OIS 1.8µm เซ็นเซอร์รับภาพมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 1/1.76″ รองรับการถ่ายในที่มีแสงน้อยได้ดีขึ้น
- กล้อง Tele ความละเอียด 64MP f/2.0 PDAF, OIS ซูมได้ 3X แบบ Hybrid Optical Zoom และซูมแบบความละเอียดสูง Super Resolution Zoom (optical+digital zoom) ได้สูงสุด 30 เท่า
- กล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP f/2.2 AF มุมกว้าง 120 องศา
- กล้อง DepthVision 0.3MP
- ระบบกันสั่น Super Steady แบบใหม่ที่ทำงานได้ดีขึ้น
- กล้องหน้าความละเอียด 10MP f/2.2 มุมกว้าง 80 องศา
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอแบบ Ultrasonic
- กันน้ำกันฝุ่น IP68
- ลำโพงคู่สเตอริโอให้เสียง surround พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
- รองรับ WiFi 6
- Android 10 พร้อม One UI 2
- Battery 4500 mAh รองรับการชาร์จไวที่ 25W และการชาร์จไร้สายเร็ว 15W
- รองรับการชาร์จไฟให้อุปกรณ์อื่น Reverse charging จ่ายไฟสูงสุดที่ 9W
- มาด้วยกัน 3 สี : สีดำ, สีฟ้า, สีเทา
- ราคา 31,900 บาท
วาร์ปสั่งซื้อ >> https://shop.samsung.com/th/offer/WBTS/S20
– สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง –
สิ่งที่เป็นจุดเด่นของสมาร์ทโฟน Samsung เสมอมาก็คือเรื่องของหน้าจอ รอบนี้หน้าจอได้พัฒนาก้าวกระโดดไปอีกขั้นกับหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ที่นอกจากสีจะดีแล้วยังมาพร้อมกับความลื่นไหลด้วยค่า Refresh Rate สูงถึง 120 Hz เลยทีเดียว หลังจากที่ผมได้ใช้งานมาต้องบอกตามตรงว่าคงไม่มีหน้าจอบนสมาร์ทโฟนรุ่นไหนที่สามารถสู้หน้าจอที่อยู่บน Samsung Galaxy S20 Series ได้อีกแล้ว ณ ตอนนี้ ได้หน้าจอขนาดใหญ่ ให้สีสันที่สดใสสวยงาม เที่ยงตรง สู้แสงแดดได้สบาย ๆ แต่การทำงานของค่า Refresh Rate 120 Hz ปัจจุบันจะสามารถใช้ได้บนความละเอียด FHD+ เท่านั้น ถ้าเป็นความละเอียด QHD+ ค่า Refresh Rate จะทำงานได้ที่ 60 Hz เท่านั้น
สิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุดใน S20 Series คือรอบนี้มาพร้อมขอบหน้าจอที่โค้งน้อยลง หรือเรียกว่าไม่โค้งก็ยังได้ เพราะขอบหน้าจอเป็นแบบ 2.5D ที่มีความมลตรงขอบจอเฉพาะส่วนที่เป็นพื้นที่สีดำเท่านั้น ซึ่งทำให้เวลาใช้นิ้วปัดขอบจอจะลื่นไหลไม่สะดุด แต่ตัว Panal หน้าจอนั้นไม่โค้งแต่อย่างใด ถ้าใครไม่ชอบหน้าจอโค้งต้องถูกใจสิ่งนี้แน่นอน ขอบมลกำลังดี จับถือถนัดกระชับมือ
สำหรับดีไซน์ของ S20 Series ในรอบนี้มีการเปลี่ยนการดีไซน์ของตัวกล้องมาเป็นแนวตั้ง และตำแหน่งของกล้องจะอยู่บริเวณมุมซ้ายบน คล้ายกับที่ใช้ใน A Series ของปี 2020 ที่ผ่านมา และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือเรื่องของ Battery ที่ได้มีการเพิ่มมาให้ใน S20 Series ทุกรุ่นในปีนี้ โดยรุ่น S20+ ที่ผมรีวิวตอนนี้จะมาพร้อมกับ Battery 4,500 mAh ส่วนรุ่นน้องอย่าง S20 หรือ รุ่นพี่ S20 5G Ultra จะมีขนาดที่แตกต่างกันไปโดยมีขนาดเพิ่มขึ้นจาก S10 Series ทั้งหมด
สิ่งที่เป็นสิ่งชูโรงของ Samsung S20 Series ในรอบนี้เลยคือ เรื่องของกล้องหลัง โดยในรุ่น S20+ ที่ให้กล้องหลังมามากถึง 4 ตัว โดยกล้องหลักในรอบนี้ได้มีการใช้กล้องที่มีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ที่สุดกว่าทุกรุ่นที่ Samsung เคยใช้มาโดยมีขนาดของเซ็นเซอร์อยู่ที่ 1/1.76″ และมีความโดดเด่นในเรื่องของกล้องเลนส์ Tele ที่ให้มาความละเอียดสูงถึง 64 MP เพื่อเอามาใช้ในการทำ Hybrid Optic Zoom ที่ซูมได้ไกลสูงสุดถึง 40X แต่ถ้าจะให้พูดถึงระยะที่สามารถหวังผลได้ คุณภาพไฟล์ดีจะอยู่ในช่วง 3X-10X ที่สำคัญรุ่นนี้ รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 8K ได้เป็นรุ่นแรกบนสมาร์ทโฟนเลยทีเดียว แถมระบบกันสั่น Super Steady ที่ใส่มาก็ได้มีการพัฒนามาเพิ่มเติมมาให้ นิ่ง และ เนียน กว่าเดิม ในส่วนของกล้องเลนส์ Ultra-Wide ก็สามารถทำได้ดีกว่ารุ่นเดิมมากขึ้นอีก สวย คม แถมถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีสุด ๆ และความแตกต่างที่สำคัญที่ทำให้ Samsung S20+ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ รุ่นนี้มีการใส่กล้อง DepthVision (ToF Sensor) มาให้ในขณะที่ S20 รุ่นปกตินั้นไม่มีมาให้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเพราะมันจะช่วยให้การทำเบลอในรูปภาพให้มีความเนียน เห็นความแตกต่างกันชัดเจน ระหว่างกว่าการใช้กล้อง Tele + Software (Ai) บน S20 กับ DepthVision (ToF Sensor) ใน S20+ ส่วนที่เห็นเป็นรู ๆ ด้านล่างกล้อง DepthVision คือที่อยู่ของไมค์ตัวที่ 3 สำหรับใช้ในการซูมเสียงระยะไกล ๆ นั่นเองเวลาทำการซูม และใช้ฟังก์ชัน Audio Zoom-in Mic
แน่นอนว่า Samsung S20 Series มาพร้อมกับหน้าจอแบบ Infinity-O Display จึงทำให้กล้องที่ใส่มาจะเป็นการเจาะรูบนหน้าจอซึ่งรุ่นนี้ได้พัฒนาทำให้รูมีขนาดที่เล็กมาก ๆ และกล้องหน้าในรอบนี้ได้เปลี่ยนมาใช้กล้องหน้าความละเอียด 10MP รูรับแสงกว้าง f/2.2 ได้ภาพมุมกว้างถึง 80 องศา สามารถ Selfie เก็บคนได้ 2-3 คนสบาย ๆ หรือจะให้ Software Crop เหลือถ่ายคนเดียวเก๋ ๆ ก็ยังได้ ส่วนขอบด้านบนเล็ก ๆ จะมีร่องเล็ก ๆ เป็นที่อยู่ของลำโพงตัวที่สองที่ทำงานแบบ Stereo คู่กับลำโพงด้านล่าง
– ลัดเลาะรอบเครื่อง –
ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม เพิ่ม-ลด เสียง และปุ่ม เปิด-ปิด เครื่อง/หน้าจอ
ด้านซ้ายของตัวเครื่องโล่ง ๆ ไม่มีปุ่มอะไรเลย ขอบของฝาหลังด้านข้างทั้งสองฝั่งเป็นขอบโค้ง 3D จับถือง่าย จับกระชับมือ
ด้านล่างของตัวเครื่องมี Port USB Type-C ที่รองรับการชาร์จไวที่ 25W ส่วนด้านขวาสุดเป็นไมค์สำหรับสนทนา ต่อมาเป็นลำโพง 1 ตัวซึ่งในรอบนี่สิ่งที่ชอบมากคือลำโพงที่เสียงดีขึ้น กระหึ่มแบบเห็นได้ชัดมาก ๆ ทั้งลำโพงด้านบน และด้านล่างเครื่องที่ทำงานคู่กันแบบ Stereo และมีการปรับจูนเสียงของ Dolby Atmos ช่วยอีกด้วย
ด้านบนของตัวเครื่องมีไมค์ตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน และช่องสำหรับใส่ซิมการแบบ Hybrid-Slot รองรับการใช้งานสองซิมได้ หรือจะเลือกใส่ Micro-SD Card เพิ่มเติมได้สูงสุด 1 TB ไปเลยก็ได้เช่นกัน
– ฟั่งก์ชั่นในการถ่ายวิดีโอ –
แน่นอนว่ารุ่นนี้เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของกล้องวิดีโอบนสมาร์ทโฟน เพราะสิ่งที่รุ่นนี้ทำได้คือสามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงแบบ 8K ได้โดยใช้กล้องเลนส์ Tele ความละเอียด 64MP นั่นเองซึ่งระยะจะ Crop ไปพอสมควรแต่ถ้าแลกกับความละเอียด 8K ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ ถ้าถามว่าในการใช้งานจริงได้ใช่บ่อยไหมบอกเลยว่ามีโอกาสน้อยมาก แต่การที่มีให้มาในบางสถานการณ์เราอาจได้ใช้มัน เช่น การถ่าย Video 8K มาเพื่อเพื่อทำการมา Crop จัด Position ของรูปที่หลังก็จะสามารถคงคุณภาพอยู่ที่ 4K หรือ FHD ได้แม้จะ Crop เพื่อปรับแต่งการนำเสนอที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และต้องบอกตามตรงว่าไฟล์ที่ได้มามีขนาดค่อนข้างใหญ่ อาจจะไม่สะดวกสำหรับการนำไป Process สำหรับบางคนสักเท่าไหร่ และคุณภาพของวิดีโอก็ยังไม่ดีเท่า 4K ปกติที่มีมาให้อยู่เท่าไหร่นักมีประโยชน์ตรงได้ Frame ขนาดใหญ่ ๆ มาทำการ Process ต่อได้
ต่อมาสิ่งที่ผมว้าวมากคือในรอบนี้ Samsung ได้ใส่ Mode Pro มาให้ในการถ่ายวิดีโอแล้ว ทำให้สามารถนำไปทำงานที่ Advance กว่าเดิมได้อีกมาก ปรับตั้งค่าเองได้หมดเพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ต่าง ๆ
– ฟั่งก์ชั่นในการถ่ายภาพ –
สำหรับโหมดในการถ่ายภาพที่เข้ามาใหม่ และผมชื่นชอบมาก ๆ คือโหมด Single Take เมื่อเราใช้โหมดนี้มือถือจะช่วยบันทึกวิดีโอนานสุด 10 วินาที แล้วนำมาประมวลผลเพื่อแบ่งออกมาเป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอย่อยหลาย ๆ คลิป โดย Software จะทำการถ่ายภาพถ่าย และวิดีโอจากกล้องทุกตัวที่มี เท่ากับว่าเรากดถ่ายเพียงครั้งเดียวก็จะได้รูปมาทุกระยะทุกมุมมอง แถมมีการนำมาทำเป็น Video สั้น ๆ หรือนำมาใส่ Affect ให้อัตโนมัติ ทำได้เราไม่ต้องมานั่งคิดมาตอนถ่ายรูปกดไปรอ 10 วินาที เรามีหน้าที่เลือกรูปไปใช้งานเท่านั้นพอ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญในการถ่ายภาพ แต่ก็ได้ภาพที่สวยงามไปใช้งานได้ง่าย ๆ
อีกจุดเด่นคือในเรื่องของการซูมนั่นเอง โดpเขาชูโรงเรื่อง Super Resoluation Zoom ที่ใช้ใช้เลนส์ Tele ความละเอียด 64MP มาทำการ Crop รูป และทำงานคู่กับ Software + Ai ทำให้สามารถทำ Super Resoluation Zoom ได้ไกลสูงสุดถึง 30 เท่า และ Hybrid Optic Zoom ที่ 3X ต้องบอกเลยว่ารอบนี้เรื่องของการซูมทำได้ดีมากจริง ๆ รายละเอียดดีมาก ๆ แม้ซูมไกล โดยระยะหวังผลสำหรับผมคืออยู่ในช่วง 3X-10X กำลังดีครับ
อีกเรื่องที่ผมคาดหวังมาก ๆ และ Samsung ทำได้ดีมาก ๆ ในรอบนี้เลยก็การถ่ายภาพในที่แสงที่ทำได้ดีมาก และเก็บรายละเอียดได้ครบ เนื่องจากรอบนี้ Samsung ได้ทำการใส่กล้องขนาดเซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่มาให้ในกล้องหลัก โดยกล้องหลักมีขนาดเซ็นเซอร์ขนาด 1/1.76″ ทำให้สามารถรับแสงได้ดีมากยิ่งขึ้นนั้นเอง แถมยังมีการพัฒนาการถ่ายภาพในที่แสงน้อยในโหมด Bright night หรือโหมดกลางคืนที่มาช่วยในการประมวลผลภาพในที่แสงน้อยที่สว่าง และรายละเอียดยังอยู่ครบ แจ่มขนาดไหนดูรูปที่จะแนบไว้ให้ในบทความได้เลย
– ประสิทธิภาพ –
สำหรับ Samsung Galaxy S20+ ที่ขายในประเทศไทยนั้นมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Exynos 990 มี Core ในการประมวลผล 8 Core ความเร็ว Clock Speed 2.73 GHz ซึ่งในการใช้งานจริงก็ต้องยอมรับว่ามีประสิทธิภาพอยู่ในระดับต้น ๆ ของเรื่องธงเลย ความแรงก็เทียบเคียงมาคู่กับ Snapdragon 855+ ได้อย่างสูสีเลยทีเดียว และยังมาพร้อมกับ Storage แบบ UFS3.0 ที่ทำความเร็วในการอ่านเขียนได้สูงมาก ๆ จนน่าตกใจ ทำให้เวลาเปิดอะไรก็ไวไปหมด หรือจะเป็นการเขียนอ่านไฟล์ต่าง ๆ ได้ประโยชน์จากตรงนี้ไปอย่างมาก
– ทดสอบการเล่นเกม –
ในส่วนของการเล่นเกมก็หายห่วง สามารถปรับสุดได้ทุกเกมในท้องตลาดแน่นอน เล่นได้ไหลลื่นดี และแถมด้วยหน้าจอ 120 Hz ที่ให้มาทำให้เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมได้ดีเป็นอย่างมากภาพดูลื่นไหลเนียนตาสมกับเป็นเรือธง เสียงลำโพงก็กระหึ่มแยกเสียงสบาย ๆ แต่จะมีเรื่องของอุณหภูมิในการใช้งานหลังจากที่ได้ทดสอบเวลาใช้งานกล้องนาน ๆ หรือเล่นเกมพบว่าตัวเครื่องมีอุณหภูมิค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ด้วยกันเพราะตัวเครื่องมีระบบระบายความร้อนที่ตัว Frame เครื่อง และหน้าจอเป็นหลัก ทำให้เกิดความร้อนที่ Frame เครื่องเวลาใช้งานค่อนข้างสูงจนถือลำบากมือพอสมควร และในการเล่นเกมมีจังหวะที่ Frame rate ตกไม่นิ่งอันมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นของตัวเครื่องนั่นเอง
– ภาพถ่ายกล้องหลัง –
– ภาพถ่ายกล้องหน้า –
Live Focus Normal
บทสรุป
หลังจากที่ผมได้ใช้งาน Samsung Galaxy S20+ มาประมาณ 2 อาทิตย์ ส่วนตัวต้องขอบอกตามตรงว่าผมค่อยข้างชื่นชอบ และประทับใจสมาร์ทโฟนรุ่นนี้พอสมควร จะให้พูดว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องมาก ๆ ในปีนี้อีก 1 รุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะรุ่นนี้ได้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมในแต่ละด้านจากรุ่นที่แล้วออกมาจนลงตัว จุดเด่นหลัก ๆ จะเป็นในเรื่องของการถ่ายถ่ายภาพ และการถ่ายวิดีโอที่ต้องยอมรับว่าทำได้ดีแบบก้าวกระโดด ใครที่อยากได้สมาร์ทโฟนที่เน้นในเรื่องของประสิทธิภาพของตัวเครื่องทั้งเรื่องความลื่นไหลของหน้าจอ กล้องที่ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 8K ได้ สามารถซูมได้ไกลโดยยังคงรายละเอียดได้ดีอยู่ คุณภาพเสียงของลำโพงคู่ที่ได้มาแบบกระหึ่มสุด ๆ รวมถึงดีไซน์ของตัวเครื่องที่ดูเรียบหรูเพรียวบาง แถมแบตเตอร์รี่ก็สามารถใช้งานทั่วไปได้เต็มวันจากปริมาณของ Battery ที่เพิ่มขึ้นมาให้ ทำให้เจ้า Samsung Galaxy S20+ รุ่นนี้เป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถตอบโจทย์ในการใช้งานทั่วไปจนไปถึงขั้น Professional ได้สบาย ๆ เลย ยิ่งถ้าใครเป็น Content Creator ในยุคนี้แล้วละก็ต้องชื่นชอบมากแน่ ๆ แล้วนอกเหนือจากสิ่งที่ผมได้กล่าวชื่นชมไปแล้ว จริง ๆ จะมีส่วนที่เป็นข้อพิจารณาอยู่บ้างสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เลยก็คือในเครื่องของความร้อนของตัวเครื่องเมื่อใช้งานเครื่องไปสักเช่นการเล่นเกม หรือใช้งานกล้องตัวเครื่องจะมีมีอุณหภูมิตัวเครื่องที่สูงจนรู้สึกได้โดยเฉพาะบริเวณ Frame ของตัวเครื่อง ซึ่งอาจทำให้ลำบากเวลาจับถือตัวเครื่องอยู่บ้างเวลาใช้งานเครื่องหนัก แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าเครื่องที่ผมได้ทดสอบมายังใช้ Firmare ที่ยังไม่ Official ในไทยอย่างเป็นทางการซึ่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้จึงยังไม่อาจยืนยันในเรื่องนี้ คงต้องรอการอัพเดทแก้ไขต่อไปจนทำให้ปัญหานี้ถูกแก้ไขให้ดีขึ้นก็เป็นได้ สำหรับการรีวิว Samsung Galaxy S20+ ผมก็ต้องขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ ไว้เจอกันในบทความต่อ ๆ ไป กราบสวัสดีครับ
จุดเด่น
- หน้าจอ Infinity-O Display Dynamic AMOLED 2X สีสวย คุณภาพดี รูกล้องเล็ก ไหลลื่นด้วยค่ารีเฟรชเรท 120Hz
- กล้องหลักมีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น สามารถทำ Super Resolution Zoom ได้ไกลถึง 30X ด้วยกล้อง Tele ความละเอียดสูง 64 MP และยังสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 8K ได้เป็นรุ่นแรก แถมด้วย ระบบกันสั่น Super Steady ที่ถูกพัฒนาให้เนียนขึ้นอีกขั้น
- เพิ่ม Battery มาให้เป็น 4,500 mAh สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น รองรับการชาร์จไว Adaptive Fast Charge 25W และรองรับ Fast Wireless Charge 15W และ Reverse charging ให้อุปกรณ์อื่นจ่ายไฟสูงสุดที่ 9W
- ประสิทธิภาพเหลือ ๆ กับ Exynos 990 และ Ram ที่ให้มาจุใจถึง 8GB ผนวกกับ Storage หลักแบบ UFS 3.0 ที่เขียนอ่านไวสุด ๆ ใช้งานทั่วไปสบาย หรือจะเล่นเกมก็เอาอยู่
- ตัวเครื่องดีไซน์สวยงาม เรียวบาง ขอบหน้าจอไม่โค้งแล้ว สวยเป็นเอกลักษณ์
- ลำโพง Stereo คู่เสียงกระหึ่มดีกว่าเดิม ผนวกกับการจูนเสียงด้วย Dolby Atmos
- มีพอร์ท 3.5 mm.
ข้อพิจารณา
- ในการใช้งานทั่วไปเครื่องค่อนข้างร้อนเร็วกว่าปกติ และในการใช้งานกล้องมีอุณหภูมิเครื่องที่สูงพอสมควร
- เครื่องมีขนาดใหญ่ และน้ำหนักที่มากพอสมควร
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วยังทำงานค่อนข้างช้า และไม่ค่อยแม่นยำสักเท่าไหร่ แต่มีความปลอดภัยสูง
- ไม่มีพอร์ท 3.5 mm.