ขอกราบสวัสดีทุกท่าน วันนี้ผมจะมาแกะกล่องรีวิวเจ้า Xiaomi Mi 9 ให้ได้รับชมกันว่า มือถือเรือธงตัวล่าสุดจาก Xiaomi จะน่าสนใจขนาดไหนกัน โดย Mi 9 มาพร้อมจุดเด่นในเรื่องของกล้องหลังที่ได้ทำการเปลี่ยนใหม่หมด มาพร้อมกับกล้องหลังเลนส์ 3 ระยะ อีกทั้งถึงยังได้คะแนนการทดสอบภาพถ่ายจาก DXOmark สูงถึง 107 คะแนน แต่ในการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ผมจะมาทดสอบให้ทุกท่านได้รับชมกัน อีกทั้งตัวนี้รองรับการชาร์จแบบไร้สาย Wireless fast charging 20W ที่ไวที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ โดยรุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทย ณ ตอนนี้มีเพียงรุ่นเดียวคือรุ่น Ram 6 GB Internal Storage 128 GB โดยมี 2 สีให้เลือก คือ Ocean Blue และ Piano Black กับขุมพลังเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Qualcomm® Snapdragon™ 855 AIE หน้าจอขนาดใหญ่ 6.39 นิ้ว สีสันสดใสสวยงามสะดุดตา เราไปดูการใช้งานจริงพร้อม ๆ กันดีกว่าว่าเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง Mi 9 จะมีความน่าสนใจขนาดไหนกัน
– ก่อนอื่นพาไปดูอุปกรณ์ที่แถมมาให้ในกล่องสักนิด –
-สิ่งที่คุณจะได้ไป-
1. ตัวเครื่อง Mi 9
2. Case TPU สีดำใส แบบนิ่ม
3. คู่มือการใช้งาน
4. ใบรายละเอียดการรับประกัน
5. เข็มจิ้มซิม
6. สายแปลง USB Type-C เป็น Jack 3.5 mm.
7. Adapter สำหรับชาร์จไฟ รองรับการชาร์จไว QC 3.0
8. สาย USB Type-A to Type-C
-วัสดุและการออกแบบดีไซน์-
ฝาหลังเลือกใช้กระจก Corning® Gorilla® Glass 5 ทำขอบโค้งทั้ง 4 ด้าน พร้อมกับทำการเคลือบสีระดับนาโน และการสะท้อนแสงแบบโฮโลแกรม เวลาจับแล้วทำให้รู้สึกเลยว่าการทำขอบโค้งด้านข้างที่มากกว่าเดิมทำให้จับตัวเครื่องรู้สึกกระชับมากขึ้น และรู้สึกเครื่องผอมเพรียวมากกว่าเดิม โดยมี 3 สีให้เลือก คือ Lavender Violet, Ocean Blue และ Piano Black ที่ผมได้มารีวิวนั่นเอง สีนี้อาจจะดูสวยน้อยกว่าสีอื่น แต่ดูสวยเรียบหรู และพรีเมี่ยมมาก Mi 9 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 3,300 mAh สำหรับในการใช้งานทั่วไปตั้งแต่เช้าเปิด 4G เล่น Social ถ่ายรูปทั่งวันก็อยู่ได้ประมาณ 2 – 3 ทุ่มสบาย ๆ แต่ถ้าเล่นเกมบ้างก็อยู่ได้ถึงประมาณ 5 โมงเย็น
Mi 9 มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ขอบจอที่บางเฉียบ 6.39 นิ้ว เลือกใช้ Panel Amoled ยอดนิยมจาก Samsung ความละเอียด FHD+ ครอบทับด้วยกระจก Corning® Gorilla® Glass 6 โดยทำมุมโค้ง 2.5D เล็กน้อยทั้งสี่ด้าน รวมถึงยังเคลือบสารลดคราบมัน และรอยนิ้วมือมาให้ด้วย ในการใช้งานจริงหน้าจอให้สีสันที่สวยงามน่าใช้มาก ๆ การไล่สีก็ทำได้น่าประทับใจกับค่า contrast สูงถึง 60000:1 (min) รวมถึงการสู้แสงในที่ ๆ มีแสงแดดทำได้สบาย ๆ เพราะสามารถทำความสว่างสูงสุดได้ถึง 600 nit รองรับการแสดงผล HDR10 อีกด้วย การสัมผัสของหน้าจอบอกได้เลยว่าไม่ต้องห่วงลื่นติดนิ้วเอามาก ๆ
ข้างบนมาพร้อมกับติ่งตัว U ที่เล็กลงจากรอยบากแบบรุ่นเดิมอย่างมาก โดยเป็นที่อยู่ของกล้องหน้าความละเอียด 20 MP ขนาด 0.9μm รูรับแสงกว้าง ƒ/2.0 และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ รวมถึงลำโพงสนทนาก็ไปอยู่ทางขอบด้านบนสุด ทำให้ได้พื้นที่หน้าจอที่มากขึ้นในขนาดตัวเครื่องที่ไม่ได้ใหญ่ไปจากเดิมเลย
กล้องหลังมาพร้อมกับกล้อง 3 ตัว โดยกล้องหลักมีความละเอียดสูงถึง 48 MP ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony® IMX586 ขนาด 0.8μm รูรับแสงกว้าง ƒ/1.75 รวมถึงยังมาพร้อมกับกล้องรองความละเอียด 16 MP ขนาด 1.0μm รูรับแสง ƒ/2.2 เลนส์ไวด์กว้างถึง 117 องศา และกล้องรองตัวที่สาม ความละเอียด 12 MP นาด 1.0μm รูรับแสง ƒ/2.2 ที่เป็นกล้องเลนส์ Tele ทำให้สามารถซูมได้แบบ 2X ไม่สูญเสียรายละเอียด ทำให้เราได้กล้องครบทั้ง 3 ระยะ ทำให้การจัดองค์ประกอบภาพถ่ายนั้นสนุกมากขึ้น แถมได้ใช้กระจก Sapphire ครอบตัวเลนส์ ช่วยให้กันรอยขีดข่วนที่ตัวเลนส์ได้อย่างดี เพราะกล้องนั้นนูนออกมาพอสมควร
ด้านบนสุดของตัวเครื่องมี IR Blaster มาให้ใช้งานเป็น Remote control ร่วมกับแอป Mi Remote ส่วนรูข้าง ๆ นั้นคือไมค์ตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ด้านขวาเป็นปุ่ม เพิ่ม-ลด เสียง ถัดมาก็คือปุ่ม เปิด-ปิด เครื่อง หรือหน้าจอนั่นเอง
ด้านซ้ายมาพร้อมกับช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ Dual slot รองการการใช้งาน 4G สองซิมพร้อมกัน และถัดมาเป็นปุ่ม Ai สำหรับเรียกใช้งาน Google Assistant เพื่อสั่งงานต่าง ๆ * รุ่นนี้ไม่รองรับการใส่ Micro SD Card เพิ่มนะจ๊ะ
ด้านซ้าย เป็นที่อยู่ของไมค์สำหรับสนทนา ตรงกลางคือช่องสำหรับชาร์จไฟ และโอนถ่ายข้อมูลด้วย Port USB Type-C โดยรองรับการชาร์จเร็วสูงสุดถึง 27W ด้วย Quick Charge 4.0 ด้านขวาสุดก็เป็นที่อยู่ของลำโพงนั่นเอง ในใช้งานจริงชาร์จไร้สายชาร์จไวมาก ๆ ส่วนลำโพงก็ให้เสียงที่ดังดี รายละเอียดครบถ้วนกำลังดี
ในเรื่องความปลอดภัย ตัวนี้มาพร้อมระบบการปลดล็อคด้วยการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และใบหน้าแบบ 2D โดยเซ็นเซอร์การสแกนนิ้วได้พัฒนามาจากตัวก่อนหน้าเป็นอย่างมาก ในการใช้งานจริงนั้นรวดเร็วและแม่นยำดี กล้าพูดได้ว่าเทียบเคียงกับเซนเซอร์การสแกนนิ้วด้านหลังเครื่องปกติในเรื่องความแม่นยำได้เลย ส่วนความเร็วนั้นก็ต่างกันไม่มากนักแล้ว ในการปลดล็อคด้วยใบหน้าทำได้รวดเร็วมากจนตกใจ บางทีก็รู้สึกว่าจะเร็วไปไหนยังไม่ทันจะใช้ผ่านหน้านิดเดียวก็ปลดล็อคแล้ว * ถ้านิ้วมีความชื้นมาก เช่นเปียกน้ำก็จะเจออาการปลดล็อคไม่ได้เช่นกัน
Mi 9 รองรับ Wireless fast charging 20W ก็จริงแต่ไม่ได้แถมแท่นชาร์จแบบ 20W มาให้ และรองรับการชาร์จ QC 4.0 ที่ 27W แต่ในกล่องก็แถม Adapter QC 3.0 มาให้อยากได้ QC 4.0 ต้องซื้อเพิ่มเช่นกัน ส่วน Jack 3.5 mm. นั้นก็ถูกตัดทิ้งแต่ยังมี Adapter แปลงแถมมาให้
– ประสิทธิภาพ –
ในเรื่องของ Performance ก็หายห่วงได้เลย เพราะมาพร้อมกับ Qualcomm® Snapdragon™ 855 AIE ตัวใหม่ ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบ 7 nm ขอบอกได้เลยว่าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหลือเฟือสำหรับการใช้งานอันหนักหน่วงแน่นอน รวมถึงกินพลังงาน และความร้อนก็น้อยกว่ารุ่นเดิมอยู่พอสมควร สำหรับคะแนนก็ได้สูงลิบลิ่วดังภาพ ขึ้นแท่นอันดับ 1 การใช้งานจริงก็รู้สึกได้เลยว่าทำอะไรก็เร็วลื่นไหลไปหมดไม่มี หน่วง กระตุก หรือขัดตาให้ได้เห็นเลย Storage ที่ใช้ก็เป็น UFS 2.1 ที่เขียนอ่านไวมาก และใครที่ชอบดู Netflix นั้นหายห่วงเลยตัวนี้มาพร้อมกับระดับความปลอดภัย DRM ที่เป็น L1 แล้วนะ (เครื่องศูนย์ไทย) สามารถดู Netflix แบบ HD ได้ (เน็ตต้องเร็วด้วยนะ) รวมถึงยังผนวกเข้ากับ Game Turbo ที่มาช่วยรีดประสิทธิภาพของ SOC กับการเล่นเกมให้ดีขึ้น มีการจัดการ Notification ต่าง ๆ ให้ไม่รบกวนเวลาเล่นเกมอยู่
– ทดสอบการเล่นเกม –
ในเรื่องของการเล่นเกมถือว่าน่าประทับใจมาก เพราะหน้าจอตอบสนองการสัมผัสรวดเร็วลื่นติดนิ้วดีมาก ๆ รวมไปถึง SOC ตัวใหม่ที่แรงเหลือกินเหลือใช้ สำหรับเกม PUBG สามารถปรับ Setting ได้สูงสุดแล้วที่ภาพแบบ HDR และ Frame rate แบบ Ultra เล่นได้แบบลื่นหัวแตกเลยทีเดียว สมูทมาก ในส่วนของ ROV ก็คงไม่ต้องพูดเยอะปรับ Setting HD เปิดโหมด Frame rate สูงก็เล่นได้นิ่งที่ 60 fps สบาย ๆ ลื่นหัวแตกเช่นกัน ในขณะเล่นเกมอุณหภูมิเครื่องก็อุ่น ๆ เท่านั้นไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด ยกเว้นเอาไปถ่ายรูปหนัก ๆ กลางแดดร้อน ๆ ถึงจะรู้สึกร้อนบ้างสำหรับเจ้า Mi 9 ตัวนี้
-กล้อง-
สำหรับโหมดกล้องก็มีมาให้เยอะแยะมากมายโดยโหมดหลัก ๆ ก็จะมี
1. Mode การถ่ายภาพที่ความละเอียดสูง 48 MP จากเซ็นเซอร์ตรง ๆ ทำให้ภาพที่ได้สามารถซูมได้มากว่าเดิม 2 เท่า และใช่ร่วมกับเทคโนโลยี AI high resolution photos บอกเลยว่าภาพที่ได้จากโหมดนี้รายละเอียดดีจริง ๆ ต้องลอง
2. Night mode สำหรับถ่ายภาพตอนกลางคืนโดย Ai จะคำนวณ และทำการการลาก Speed shutter ให้เปิดนานขึ้น ทำงานร่วมกับ EIS ในการกันสั่น โดย Ai ช่วยประมวลผลแสงต่าง ๆ ทำให้ได้ภาพที่มีความสว่างโดยที่ยังคงรายละเอียดที่ดีมาก ผมประทับใจโหมดนี้มาก ๆ
3. Ultra wide mode ที่ใช้กล้องเลนส์ไวด์ 117 องศา ทำให้เราได้ภาพมุมได้กว้างมากขึ้นในการเก็บบรรยากาศต่าง ๆ ร่วมกับการลดการเบี้ยวของภาพด้วย Ultra wide-angle edge distortion correction
4. Ai scene detection ที่คอยตรวจจับภาพ และปรับการตั้งค่าของกล้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ ล่าสุดมีการตรวจจับดวงจันทร์เมื่อถ่ายภาพดวงจันทร์จะมี Moon mode มาให้เลือกใช้ ภาพที่ได้จะเป็นยังไงเชิญชมรูปถ่ายได้เลยครับ
5. AI portrait mode โดยสามารถใช้ได้ทั้งกล้องหน้ากล้องหลังทำละลายได้เนียนดีมาก ๆ มี Ai Beautify มาให้ได้ใช้กัน รวมไปถึง AI studio lighting ที่ทำให้สนุกกับการถ่าย Portrait หลากหลายรูปแบบมากขึ้น และสามารถปรับค่า ƒ ในการละลายด้วย Software ได้อีก
ในด้านของวิดีโอก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียด 4K แบบ 60 fps รวมถึงยังเลือกใช้เลนส์ไวด์ในการถ่ายวิดีโอได้อีกด้วย และถ่าย Slow motion 960 fps ได้ที่ความละเอียด FHD
– ภาพถ่ายจากกล้องหลัง –
Macro
Portrait
Ultra-wide mode
Night mode
Moon mode
– ภาพถ่ายจากกล้องหน้า –
สำหรับใครอยากดูภาพเพิ่มเติมแบบไฟล์ต้นฉบับ สามารถตามลิ้งก์นี้ไปได้เลยครับ
https://drive.google.com/drive/folders/1UfmypAUISL88iOhvlYs_L4DdOlmWtOHh?usp=sharing
บทสรุป
Xiaomi Mi 9 ถือเป็นเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยทั้งราคาที่คุ้มค่าเอามาก ๆ กับราคาเปิดตัว 16,999 บาท ในรุ่น RAM 6 GB | Storage 128 GB แต่ยังคงได้ฟังก์ชั่นทุกอย่างครบถ้วน หลังจากที่ผมได้ใช้งานประทับใจเรื่องกล้องมาก ๆ ใครหวังในเรื่องการถ่ายภาพสบายใจได้เลย กล้องมันเทพจริง ๆ เรื่องของงานประกอบ การออกแบบดีไซด์ก็สวยงามมาก ตัวเครื่องจับแล้วจะรู้สึกได้เลยว่าวัสดุที่ใช้หรูดูดีพรีเมี่ยมเกินค่าตัวไปเยอะ ส่วนกระจกทำขอบโค้งลบคมทั้งหมดจับแล้วรู้สึกดีสุด ๆ เรื่องประสิทธิภาพขอบอกเลยว่าเหลือกินเหลือใช้เล่นเกม หรือใช้ทำงานหนัก ๆ ก็ยังชิว ๆ ไม่มีอาการงอแงให้ได้เห็น ทำไรก็รู้สึกลื่นไหลไปหมด โดยรวมถ้าเทียบกับค่าตัวแล้วก็ถือว่าเป็นมือถือเรือธงที่มีความคุ้มค่ามาก ๆ ผมพยายามที่จะหาข้อติบ้าง แต่กลับยากเอามาก ๆ จะมีเพียงเรื่องที่ไม่ได้แถมแท่น Wireless fast charge 20 W ที่เป็นจุดเด่นมาให้ รวมถือ Adapter ที่น่าจะแถมมาเป็น QC 4.0 ให้เลย และสิ่งผมรู้สึกเป็นเรื่องที่ลำบากคือการที่ถูกตัด Jack 3.5 mm. ที่เวลาที่จะใช้หูฟังส่วนตัวค่อนข้างลำบากพกสายแปลง รวมถึงเรื่องไมค์ที่การอัดเสียงทำได้ไม่ดีนัก สุดท้ายนี้โดยรวมผมชอบเจ้า Mi 9 เป็นอย่างมากด้วยทั้งราคา และฟังก์ชั่นผนวกกับเทคโนโลยีที่ได้มาอย่างครบครันแบบนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนต้องการมือถือเรือธงที่มีความหรูหรางานประกอบดีกล้องเทพในราคาที่จับต้องได้ ยัดสเปคมาจัดเต็มไม่มีกัก สวนทางกับราคาเรือธงที่นับวันราคาก็ยิ่งสูงขึ้นทุกวัน ๆ พร้อมกับประกัน 15 เดือนด้วยนะ
จุดเด่น
1. กล้อง 3 ตัวคุณภาพดีมาก ๆ ได้ภาพที่สวยงามทั้งกล้องหน้า และกล้องหลังประทับใจมากดีเกินคาด
2. การออกแบบดีไซด์สีสันสวยงาม ตัวเครื่องสวยหรูพรีเมี่ยม และงานประกอบที่เนียนสุด ๆ
3. วัสดุในส่วนของกระจกที่ใช้เป็น Corning® Gorilla® Glass 5-6 และใช้กระจก Sapphire ครอบเลนส์กล้อง
4. ลำโพงเดี่ยวแต่เสียงดีมากพอสมควร
5. หน้าจอขนาดใหญ่คุณภาพดีขอบบางแสดงผลได้เต็มตาสวยงามรองรับการแสดงผลแบบ HDR10 สู้แสงได้ดี และการสัมผัสตอบสนองได้ดีมาก
6. แบตเตอร์รี่ ใช้งานได้ถึงเย็น แม้จะให้มาแค่ 3300 mAh
7. Qualcomm® Snapdragon™ 855 AIE เร็วแรงลื่นไหลดีสุด ๆ ไม่ร้อนมากด้วย
8. รองรับ Wireless fast charging 20W ที่เร็วที่สุด ณ ตอนนี้
ข้อพิจารณา
1. ถูกตัดพอร์ตหูฟัง 3.5 mm. และเพิ่ม Micro SD Card ไม่ได้
2. Dual GPS ที่ยังมีอาการเพี้ยน ๆ อยู่บ้าง ถ้าปิดใช้ GPS ตัวเดียวสามารถใช้ได้ปกติโดยส่วนนี้เป็นที่ Firmware รออัพเดทต่อไปจะหายดี
3. ไมค์อัดเสียงได้ไม่ดีนัก
4. ไม่แถมแท่นชาร์จ Wireless fast charging 20W มาให้ (แต่ถ้าสั่งจองล่วงหน้า 500 คนแรกกับ AIS จะมีแถมให้)
5. ไม่แถม Adapter ชาร์จ QC 4.0 มาให้ทั้งที่รองรับ
มีเคสขายแยก 499 บาทด้วยนะ
โปรกับ AIS เพิ่มเติม